ฟ้าผ่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าเกรงขามและสามารถสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลได้ในพริบตา ไม่ว่าจะเป็นการทำลายอาคาร สิ่งปลูกสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งคร่าชีวิตผู้คน โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีฤดูฝนยาวนาน นี่คือเหตุผลที่ สายล่อฟ้า (Lightning Rod) ไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์เสริม แต่คือสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินจากมหันตภัยธรรมชาติชนิดนี้
ฟ้าผ่าคืออะไร? ภัยธรรมชาติที่ไม่ควรมองข้าม

ฟ้าผ่าเกิดจากการปล่อยพลังงานไฟฟ้าความต่างศักย์สูงจากเมฆสู่พื้นดินหรือระหว่างกลุ่มเมฆด้วยกัน โดยเฉพาะเมฆคิวมูโลนิมบัส (cumulonimbus) ซึ่งมีการไหลเวียนของกระแสอากาศอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้หยดน้ำและก้อนน้ำแข็งในเมฆเสียดสีกันจนเกิดประจุไฟฟ้า ประจุบวกมักอยู่บริเวณยอดเมฆ ส่วนประจุลบอยู่บริเวณฐานเมฆ และประจุลบที่ฐานเมฆอาจเหนี่ยวนำให้พื้นผิวโลกที่อยู่ใต้เงาของมันมีประจุเป็นบวก
เมื่อก้อนเมฆมีประจุไฟฟ้ามากพอ ก็จะถ่ายโอนประจุไฟฟ้าจากที่ที่มีศักย์ไฟฟ้าสูง ไปยังที่ที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำ ทำให้ประจุไฟฟ้าจำนวนมากเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วสูงผ่านอากาศ เกิดความร้อนและแสงสว่างตามเส้นทางที่ประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่ หากเป็นการถ่ายโอนประจุระหว่างก้อนเมฆกับก้อนเมฆ จะเรียกว่า “ฟ้าแลบ” แต่ถ้าเป็นการถ่ายโอนประจุระหว่างก้อนเมฆกับพื้นดิน จะเรียกปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า “ฟ้าผ่า”
ฟ้าผ่ามีพลังงานมหาศาล: สามารถปล่อยพลังงานได้สูงถึง 1 พันล้านโวลต์ และมีอุณหภูมิสูงถึง 30,000 องศาเซลเซียส ซึ่งมากกว่าพื้นผิวของดวงอาทิตย์เสียอีก พลังงานมหาศาลนี้อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงทั้งต่อชีวิตมนุษย์ โครงสร้างอาคาร และระบบไฟฟ้าภายในบ้านหรือโรงงาน
ระบบป้องกันฟ้าผ่าคืออะไร และทำงานอย่างไร?

ระบบป้องกันฟ้าผ่า (Lightning Protection System) คือ ระบบที่ออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกฟ้าผ่า โดยทำหน้าที่รับพลังงานจากฟ้าผ่า และนำพลังงานนั้นลงสู่พื้นดินอย่างปลอดภัย ไม่ให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวอาคารหรือระบบภายในอาคาร ซึ่งอาจก่อให้เกิดไฟไหม้หรือความเสียหายต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ
ระบบป้องกันฟ้าผ่าประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่:
- สายล่อฟ้า (Air Terminal): ติดตั้งอยู่ส่วนบนสุดของอาคาร ทำหน้าที่รับกระแสไฟจากฟ้าผ่า
- สายตัวนำลงดิน (Down Conductor): ลำเลียงกระแสไฟจากสายล่อฟ้าลงสู่พื้น
- ระบบกราวด์ (Grounding System): กระจายพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่พื้นดินโดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย
โดยสรุปคือ ระบบสายล่อฟ้าจะ “ล่อ” ให้ฟ้าผ่าลงในบริเวณหรือส่วนที่เราต้องการ และทำให้ผลของฟ้าผ่าผ่านลงดินไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัยที่สุด
ทำไมระบบป้องกันฟ้าผ่าจึงจำเป็น?

การลงทุนในระบบป้องกันฟ้าผ่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อปกป้องชีวิต ทรัพย์สิน และความมั่นคงในระยะยาว ด้วยเหตุผลสำคัญดังนี้
1. ปกป้องชีวิตมนุษย์: การถูกฟ้าผ่ามีความเสี่ยงถึงชีวิตสูง โดยเฉพาะในอาคารที่ไม่มีระบบป้องกันฟ้าผ่า กระแสไฟอาจไหลผ่านโครงสร้างโลหะและทำร้ายผู้ที่อยู่ใกล้เคียงได้ ระบบป้องกันฟ้าผ่าที่ออกแบบมาอย่างดีจะช่วยเปลี่ยนเส้นทางของไฟฟ้าจากฟ้าผ่าให้ไม่ไหลผ่านร่างกายมนุษย์ ทำให้ลดความเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตได้
2. ลดความเสียหายต่ออาคารและทรัพย์สิน: หากไม่มีระบบป้องกัน ฟ้าผ่าอาจทำให้เกิดไฟไหม้ ทำลายหลังคา หรือระบบไฟฟ้าภายในอาคาร ส่งผลให้ทรัพย์สินเสียหายอย่างมาก การติดตั้งระบบป้องกันช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ปกป้องอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์: อุปกรณ์ไฟฟ้าและระบบเทคโนโลยี เช่น คอมพิวเตอร์ กล้องวงจรปิด หรือเซิร์ฟเวอร์ มีความไวต่อแรงดันไฟฟ้าสูงจากฟ้าผ่า ซึ่งอาจทำให้ชำรุดถาวร การติดตั้งอุปกรณ์เสริมอย่าง Surge Protection Device (SPD) จะช่วยกรองแรงดันไฟเกินและป้องกันความเสียหายได้
4. เสริมความมั่นคงของธุรกิจและองค์กร: ในภาคธุรกิจหรืออุตสาหกรรม ความเสียหายจากฟ้าผ่าอาจส่งผลต่อสายการผลิตหรือระบบควบคุมต่าง ๆ การหยุดชะงักเพียงไม่กี่ชั่วโมงอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ระบบป้องกันฟ้าผ่าคือการลงทุนเพื่อความมั่นคงทางธุรกิจในระยะยาว
5. สอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยและข้อกำหนดทางกฎหมาย: การติดตั้งระบบป้องกันฟ้าผ่าช่วยให้อาคารเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรฐานสากล IEC 62305 และ มาตรฐานอุตสาหกรรมไทย มอก. 1024 รวมถึงข้อกำหนดจากกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานสำหรับอาคารที่เข้าข่าย อาคารที่มีระบบตามมาตรฐานเหล่านี้ยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยต่อผู้ใช้งานอีกด้วย
ระบบป้องกันฟ้าผ่าเหมาะกับใคร?

ระบบป้องกันฟ้าผ่ามีความจำเป็นสำหรับอาคารและสถานที่หลากหลายประเภท โดยเฉพาะ:
- บ้านพักอาศัย: โดยเฉพาะบ้านที่อยู่ในพื้นที่โล่ง
- อาคารสำนักงาน หรือคอนโดสูง
- โรงงานอุตสาหกรรม: ที่มีเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้ามูลค่าสูง
- โรงเรียน โรงพยาบาล หรือสถานที่ราชการ: สถานที่ที่มีการชุมนุมของคนจำนวนมาก
- สถานีโทรคมนาคม และศูนย์ข้อมูล (Data Center): ที่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำคัญ
- ฟาร์มหรือโรงเรือนในพื้นที่ชนบท: พื้นที่ที่มักจะไม่มีสิ่งกำบังสูง
ชนิดของระบบป้องกันฟ้าผ่าที่ใช้งานในปัจจุบัน
ปัจจุบันระบบป้องกันฟ้าผ่าสามารถแบ่งตามรูปแบบการติดตั้งออกเป็น 2 แบบหลัก ดังนี้:
1.ระบบสายล่อฟ้าแบบ Early Streamer Emission (ESE):

- หลักการทำงาน: เมื่อมีลำประจุเริ่มจากก้อนเมฆลงมา ทำให้สนามแม่เหล็กมีค่าสูงขึ้น หัวล่อฟ้าแบบ ESE จะปล่อยประจุออกมาและสร้างลำประจุอย่างรวดเร็ว ทำให้ฟ้าผ่าลงมาที่หัวล่อฟ้าแบบ ESE โดยตรง
- คุณสมบัติ: หัวล่อฟ้าแบบ ESE 1 หัวสามารถป้องกันเป็นรัศมีวงกว้าง ตามแต่สเปคของแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ เหมาะสำหรับพื้นที่กว้าง ทำให้ลดต้นทุนในเรื่องของสายตัวนำลงดินและแท่งกราวด์ได้
2.ระบบสายล่อฟ้าแบบ Faraday Cage:

- หลักการทำงาน: มีแท่งแฟรงคลินเป็นตัวล่อ โดยมีการต่อเชื่อมกันของแท่งแฟรงคลินด้วยสายทองแดงเป็นตาราง โดยแท่งแฟรงคลินแต่ละแท่งจะห่างกันไม่เกิน 25-30 เมตร เพื่อสร้างกรงป้องกันครอบคลุมพื้นที่
- คุณสมบัติ: การติดตั้งระบบแบบ Faraday Cage จะต้องติดตั้งให้เต็มพื้นที่ที่ต้องการป้องกัน ทำให้ใช้สายทองแดง แท่งแฟรงคลิน และแท่งกราวด์จำนวนมาก หากพื้นที่ที่ต้องการป้องกันฟ้าผ่านั้นไม่กว้างมาก การติดตั้งระบบแบบ Faraday Cage อาจประหยัดกว่าแบบ ESE
องค์ประกอบเพิ่มเติมของระบบป้องกันฟ้าผ่าที่สมบูรณ์
นอกจากสายล่อฟ้า สายตัวนำลงดิน และระบบกราวด์แล้ว ระบบป้องกันฟ้าผ่าที่สมบูรณ์ยังประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญอื่นๆ
อุปกรณ์ป้องกันไฟกระชาก (Lightning Arrester / Surge Protection Device – SPD):
- ทำหน้าที่: ปกป้องระบบไฟฟ้าและส่วนประกอบจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากกระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้าส่วนเกินชั่วขณะ ซึ่งอาจเกิดจากการเหนี่ยวนำจากปรากฏการณ์ฟ้าผ่าหรือการสวิตชิ่งในระบบไฟฟ้า
- ความสำคัญ: ช่วยกรองแรงดันไฟเกินและเบี่ยงเบนกระแสไฟส่วนเกินออกจากระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ลงสู่พื้นดิน ป้องกันความเสียหายต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในอาคาร
ระบบเตือนฟ้าผ่า (Lightning Warning System):
- ทำหน้าที่: ตรวจสอบสภาวะอากาศโดยการเช็คความเข้มของสนามไฟฟ้าโดยรอบพื้นที่ภายในรัศมี 15 กิโลเมตร
- การแจ้งเตือน: จะมีสัญญาณแจ้งเตือน 2 ระดับ คือ Warning Alert เมื่อค่าสนามไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึงจุดที่กำหนด (4 KV/m. ในระยะ 10-15 กม.) และ Alert Alarm (7 KV/m. ในระยะ 8-10 กม.) พร้อมสัญญาณไซเรนภายนอกอาคาร เพื่อให้ผู้ที่อยู่ในที่โล่งแจ้งหลบเข้าที่กำบังได้ทันเวลา
ระบบสายดิน (Grounding System):
- ความสำคัญ: การทำระบบกราวด์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัย และความถูกต้องแม่นยำในการทำงานของระบบไฟฟ้าต่างๆ เพื่อทำให้เกิดศักย์ไฟฟ้าเดียวกัน (Equipotential Bonded) ป้องกัน “แรงดันช่วงก้าว” (Step Voltage) และป้องกันความเสียหายของอุปกรณ์จากการเกิดกระแสไหลวน
- มาตรฐาน: ควรมีค่าความต้านทานการต่อลงดินที่ต่ำ คือ ไม่เกิน 10 โอห์ม เพื่อไม่ให้เกิดกระแสและแรงดันเกินจนเป็นอันตราย
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการติดตั้งและการบำรุงรักษาระบบป้องกันฟ้าผ่า

การติดตั้งสายล่อฟ้าต้องพิจารณาปัจจัยโดยรอบ เช่น หากมีอาคารสูงกว่าในระยะ 30 เมตร ความเสี่ยงในการโดนฟ้าผ่าโดยตรงอาจต่ำลง อย่างไรก็ตาม หัวล่อฟ้าควรสูงกว่าส่วนอื่นของอาคาร และมีมุมป้องกันเป็นรูปกรวยสามเหลี่ยมคว่ำ 45 องศา วัสดุที่ใช้ควรเป็นทองแดงหรืออะลูมิเนียมที่มีมาตรฐาน และมีการเชื่อมต่อทางไฟฟ้าที่ต่อเนื่อง มีจุดต่อน้อยที่สุด สายสั้นที่สุด และจุดโค้งมีรัศมีในมุมป้านไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร เพื่อป้องกันปัญหาการเหนี่ยวนำทางไฟฟ้า นอกจากนี้ ควรห่างจากระบบไฟฟ้าหรือโครงสร้างอย่างน้อย 20 เซนติเมตร และมีฉนวนไฟฟ้าห่อหุ้มสายนำลงดินในบริเวณที่คนสามารถจับสัมผัสได้ เพื่อป้องกันอันตรายหากระบบกราวด์ชำรุด
การตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบป้องกันฟ้าผ่าอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าส่วนประกอบต่างๆ ของระบบอยู่ในสภาพที่ดี ไม่เกิดการสึกกร่อน และยังสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบตรวจสอบอัจฉริยะ (Smart Lightning Management System) สามารถช่วยมอนิเตอร์สถานะการทำงานของระบบป้องกันฟ้าผ่า ระบบต่อลงดิน และระบบป้องกันเสิร์จ พร้อมแจ้งเตือนภัยคุกคามจากฟ้าผ่าและสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้อย่างทันท่วงที
ภัยจากฟ้าผ่าในประเทศไทย

ในประเทศไทย ภัยจากฟ้าผ่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยมีรายงานผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากฟ้าผ่าเกิดขึ้นเป็นประจำ โดยเฉพาะช่วงเดือนเมษายน พฤษภาคม และสิงหาคม ผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยทำงานและเกษตรกร โดยมักเกิดเหตุในพื้นที่โล่งแจ้ง เช่น ทุ่งนา กระท่อมกลางทุ่งนา หรือใต้ต้นไม้ใหญ่ การอยู่ในที่โล่งแจ้งขณะเกิดฝนฟ้าคะนองควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้สิ่งสูง หรือวัตถุที่เป็นสื่อนำไฟฟ้า เช่น เสาไฟฟ้า ป้ายโฆษณา หรือโครงสร้างโลหะ และควรนั่งหมอบย่อตัวให้ต่ำที่สุด ไม่ควรนอนราบกับพื้นเด็ดขาด
สรุป
แม้ฟ้าผ่าจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความเสียหายจากฟ้าผ่าสามารถป้องกันได้ หากมีการวางแผนระบบป้องกันฟ้าผ่าอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ การลงทุนในระบบนี้ถือเป็นการเพิ่ม “ความปลอดภัย ความมั่นใจ และความมั่นคงในระยะยาว” ให้กับบ้าน อาคาร และธุรกิจของคุณ การปรึกษาวิศวกรไฟฟ้าผู้เชี่ยวชาญและได้รับใบอนุญาตเพื่อออกแบบและติดตั้งระบบป้องกันฟ้าผ่าตามมาตรฐานสากล จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อชีวิตและทรัพย์สินของคุณ
หากคุณมีข้อสงสัยและต้องการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับความคุ้มครองฟ้าผ่าด้วยการซื้อประกันอัคคีภัย สามารถอ่านบทความ ประกันอัคคีภัยบ้านที่อยู่อาศัย คืออะไร? จำเป็นแค่ไหนสำหรับเจ้าของบ้าน และบทความ ไฟไหม้บ้าน ใครช่วยได้? รู้จักประกันอัคคีภัย ไมโครอินชัวรันส์ ก่อนสายเกินไป กันต่อได้
หรือถ้าคุณเป็นเจ้าของโรงงาน และต้องการซื้อประกันภัยที่มีความคุ้มครองฟ้าผ่า สามารถดูรายละเอียด ประกันโรงงาน เพิ่มเติมได้ หรือติดต่อ ศรีกรุงโบรคเกอร์ ได้ทุกสาขาทั่วประเทศ เรามีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญยินดีตอบคำถามและให้คำแนะนำ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
1. กรมวิทยาศาสตร์บริการ โดย Dr.DSS. (ม.ป.ป.). ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และวิธีป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า[ออนไลน์]. 26 กรกฎาคม 2568 แหล่งที่มา
2. Jorportoday. (ม.ป.ป.). สายล่อฟ้า (ระบบป้องกันฟ่าผ่า) ชนิดของสายล่อฟ้า และการติดตั้ง[ออนไลน์]. 26 กรกฎาคม 2568 แหล่งที่มา
3. Kumwell. (ม.ป.ป.). About Us[ออนไลน์]. 26 กรกฎาคม 2568 แหล่งที่มา
4. LSP Global. (ม.ป.ป.). ระบบป้องกันฟ้าผ่า[ออนไลน์]. 26 กรกฎาคม 2568 แหล่งที่มา
5. Library.wu.ac.th. (ม.ป.ป.). ระบบป้องกันฟ้าผ่า (Lightning Protection System) ที่ใช้งานในปัจจุบัน[ออนไลน์]. 26 กรกฎาคม 2568 แหล่งที่มา
6. สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2561). การบาดเจ็บและเสียชีวิต จากฟ้าผ่า[ออนไลน์]. 26 กรกฎาคม 2568 แหล่งที่มา
7. Worldmachinerystore.com. (ม.ป.ป.). การติดตั้งสายล่อฟ้าตามกฎหมายกำหนด[ออนไลน์]. 26 กรกฎาคม 2568 แหล่งที่มา
8. อาจารย์สนธิ คชวัฒน์. (7 พฤษภาคม 2568). โลกร้อนขึ้น..ฟ้าผ่าบ่อยขึ้น ระวังตัวด้วย![โพสต์ Facebook]. Facebook. แหล่งที่มา
9. ไทยรัฐออนไลน์. (2568). บทความและข่าว “ฟ้าผ่า” ล่าสุด วันนี้[ออนไลน์]. 3 กันยายน 2568. แหล่งที่มา
บทความโดย คุณรัตนพล เกื้อเดช
Non – Motor Specialist ภาคพิเศษ
บริษัท ศรีกรุงโบรคเกอร์ จำกัด
ทุกเรื่องประกันภัย สอบถามเรา
ติดต่อโดยตรงได้ที่ สาขาศรีกรุงโบรคเกอร์ ใกล้บ้านท่าน
หรือส่งข้อความทาง Line: @srikrung
ติดต่อผ่าน Facebook: facebook.com/srikrungbroker/
โทรคุยกับ Call Center: 02 867 3899
หรือกรอกข้อมูลบนหน้าเว็บไซต์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ
ศรีกรุงโบรคเกอร์ เราพร้อมให้บริการคุณ

































































